คลาวด์คืออะไร ทำหน้าที่อะไรและทำงานอย่างไร?

คลาวด์คืออะไร ทำหน้าที่อะไรและทำงานอย่างไร? (อธิบายง่าย ๆ สำหรับคนทั่วไป)

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน คำว่า คลาวด์” (Cloud) เป็นสิ่งที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ แต่สำหรับหลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร และทำงานอย่างไร ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายแบบง่าย ๆ เพื่อให้คนที่ไม่มีความรู้ด้านไอทีเข้าใจได้

คำว่า “คลาวด์” (Cloud) ในทางเทคโนโลยีไม่ได้หมายถึงก้อนเมฆบนท้องฟ้า แต่หมายถึงระบบหรือบริการที่ช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลและใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมหรือเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ของเราเอง

ลองนึกภาพว่าคุณมีแฟลชไดรฟ์ที่สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่โดยไม่ต้องพกติดตัวไปไหน นั่นคือแนวคิดของคลาวด์ เมื่อคุณเก็บไฟล์ไว้บนคลาวด์ คุณสามารถเปิดไฟล์เหล่านั้นได้จากอุปกรณ์ใด ๆ ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน

 

คลาวด์ทำงานอย่างไร?

คลาวด์ทำงานโดยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ของเราเข้ากับ “เซิร์ฟเวอร์” ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลทั้งหมด เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ตั้งอยู่ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขนาดใหญ่ทั่วโลก และมีระบบความปลอดภัยสูงมาก

เมื่อเราต้องการเก็บข้อมูลหรือใช้งานบริการใด ๆ บนคลาวด์ ข้อมูลจะถูกส่งผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้น และเมื่อเราต้องการใช้งานไฟล์หรือโปรแกรม ข้อมูลจะถูกดึงกลับมาที่อุปกรณ์ของเราในรูปแบบที่เรียกว่า “สตรีมมิ่ง” หรือ “ดาวน์โหลด”

 

ตัวอย่างบริการคลาวด์ที่เราคุ้นเคย ได้แก่

 

ประเภทของบริการคลาวด์

บริการคลาวด์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. Infrastructure as a Service (IaaS)
    ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เซิร์ฟเวอร์และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างและบริหารจัดการระบบไอทีของตนเอง ตัวอย่างผู้ให้บริการ ได้แก่ Amazon Web Services (AWS) และ Microsoft Azure
  2. Platform as a Service (PaaS)
    ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาและทดสอบแอปพลิเคชัน นักพัฒนาสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ในการสร้างแอปได้โดยไม่ต้องจัดการโครงสร้างพื้นฐานเอง ตัวอย่างเช่น Google App Engine และ Heroku
  3. Software as a Service (SaaS)
    ให้บริการซอฟต์แวร์ที่ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น Gmail, Google Docs และ Microsoft 365 ผู้ใช้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมลงในเครื่อง

 

ตัวอย่างบริการคลาวด์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

  • Google Drive: ให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ และทำงานร่วมกับ Google Docs, Sheets และ Slides ได้อย่างไร้รอยต่อ
  • iCloud: บริการคลาวด์ของ Apple ที่ช่วยให้ผู้ใช้อุปกรณ์ iPhone, iPad และ Mac สามารถสำรองข้อมูลและซิงค์ไฟล์ต่าง ๆ ได้อัตโนมัติ
  • Dropbox: บริการจัดเก็บและแชร์ไฟล์ออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
  • OneDrive: บริการคลาวด์ของ Microsoft ที่มาพร้อมกับการใช้งานร่วมกับ Microsoft Office ได้อย่างสะดวก

 

ตัวอย่างการใช้คลาวด์ในชีวิตประจำวัน

  1. เก็บรูปภาพและวิดีโอ
    หลายคนใช้บริการคลาวด์ เช่น iCloud หรือ Google Photos ในการเก็บรูปภาพและวิดีโอ ช่วยประหยัดพื้นที่ในโทรศัพท์
  2. ทำงานเอกสารออนไลน์
    นักเรียนและคนทำงานมักใช้ Google Docs หรือ Microsoft Word ออนไลน์ในการทำรายงานหรือเอกสาร เพราะสามารถบันทึกและแก้ไขได้ตลอดเวลา
  3. ฟังเพลงและดูหนังออนไลน์
    บริการสตรีมมิ่ง เช่น Spotify และ Netflix ใช้คลาวด์ในการเก็บเพลงและภาพยนตร์ ทำให้เราสามารถฟังเพลงหรือดูหนังได้แบบออนไลน์ โดยไม่ต้องดาวน์โหลด

 

คลาวด์มีหน้าที่อะไร?

คลาวด์มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การจัดเก็บและใช้งานข้อมูลเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยหน้าที่หลักของคลาวด์ ได้แก่

  1. จัดเก็บข้อมูล (Data Storage)

คลาวด์ทำหน้าที่เป็นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์งาน เอกสาร รูปภาพ หรือวิดีโอ เราสามารถอัปโหลดข้อมูลขึ้นไปเก็บบนคลาวด์ได้ ทำให้ลดการใช้พื้นที่บนอุปกรณ์ของเราเอง

  1. สำรองข้อมูล (Data Backup)

การสำรองข้อมูลบนคลาวด์ช่วยป้องกันการสูญหายของข้อมูล เช่น หากโทรศัพท์หายหรือคอมพิวเตอร์เสีย เรายังสามารถดึงข้อมูลกลับมาได้จากคลาวด์

  1. แชร์ข้อมูล (File Sharing)

คลาวด์ช่วยให้เราส่งไฟล์หรือแชร์ข้อมูลให้ผู้อื่นได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องใช้แฟลชไดรฟ์ หรือส่งไฟล์ทางอีเมลให้ยุ่งยาก เราแค่แชร์ลิงก์ให้คนอื่นเข้าถึงไฟล์ได้

  1. ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ (Collaboration)

บริการคลาวด์หลายแห่ง เช่น Google Docs หรือ Microsoft 365 ช่วยให้หลายคนสามารถแก้ไขเอกสารเดียวกันพร้อมกันได้แบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับการทำงานเป็นทีม

 

What is the function of the cloud? คลาวด์มีหน้าที่อะไร?

 

ข้อดีของการใช้คลาวด์

การใช้คลาวด์มีข้อดีหลายประการ เช่น

  1. เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา
    ขอแค่มีอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือไฟล์ต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
  2. ประหยัดพื้นที่ในอุปกรณ์
    ไม่ต้องเก็บข้อมูลจำนวนมากไว้ในเครื่อง ช่วยให้เครื่องไม่ทำงานหนักและมีพื้นที่ว่างเหลือใช้งาน
  3. ปลอดภัย
    คลาวด์มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงกว่าการเก็บข้อมูลในอุปกรณ์ทั่วไป และยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ลดความเสี่ยงในการสูญหายของข้อมูล
  4. สะดวกต่อการทำงานร่วมกัน
    คลาวด์ช่วยให้เราทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น เช่น การแชร์เอกสารหรือทำโปรเจ็กต์ร่วมกัน

 

ข้อควรระวังในการใช้คลาวด์

แม้ว่าคลาวด์จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน ได้แก่

  1. ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว
    แม้ผู้ให้บริการคลาวด์จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่เราควรตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายาก และเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication)
  2. ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน
    บริการคลาวด์ส่วนใหญ่ให้ใช้งานฟรีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเก็บข้อมูลเยอะ ๆ หรือใช้งานฟีเจอร์เพิ่มเติม อาจต้องเสียค่าใช้จ่าย
  3. ต้องมีอินเทอร์เน็ต
    หากไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือสัญญาณไม่เสถียร การเข้าถึงข้อมูลบนคลาวด์อาจเป็นปัญหาได้

 

สรุป

คลาวด์คือเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การจัดเก็บและใช้งานข้อมูลเป็นเรื่องง่ายขึ้น ช่วยประหยัดพื้นที่ในอุปกรณ์ เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกัน และยังมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัยสูง แม้จะมีข้อควรระวังเรื่องความปลอดภัยและค่าใช้จ่าย แต่ถ้าใช้อย่างเหมาะสม คลาวด์จะเป็นตัวช่วยสำคัญในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างแน่นอน

ด้วยการอธิบายแบบง่าย ๆ และยกตัวอย่างใกล้ตัว หวังว่าคุณจะเข้าใจว่าคลาวด์คืออะไร และทำไมมันถึงมีความสำคัญในยุคนี้ หากคุณกำลังมองหาวิธีจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย ลองเริ่มต้นใช้งานบริการคลาวด์ที่เหมาะกับคุณได้เลย!

 

สมัครบริการ OneDrive คลิกเลย !!!

 

บทความเพิ่มเติม

ติดตาม

สมัครบริการ

สมัครใช้งาน

เข้ากลุ่ม

ติดตาม

@ms365ibex
error: Content is protected !!